วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Hello the world Hello Kitty

                    

                 ขอพักจากความเป็นผู้ใหญ่ที่เหน็ดเหนื่อย พักจากความวุ่นวายของโลกภายนอก กลับมาอยู่กับตัวเอง ออกมาพักผ่อนสมอง ณ ร้านกาแฟร้านโปรด สั่งเครื่องดื่มสักแก้ว แล้วอยู่กับสิ่งตัวเองชอบสักพัก คงจะมีความสุขไม่น้อย

                 ถึงจะโตแล้วแต่คนเราทุกคนก็ยังแฝงความเป็นเด็กอยู่เสมอ เพียงแต่เราเลือกที่จะแสดงออกมาให้ใครได้เห็นมากกว่า สำหรับตัวดิฉันเอง ความเป็นเด็กมีอยู่ในตัวตลอดเวลาค่ะ ถ้าคุณได้เห็นดิฉันหัวเราะ ร่าเริง เฮฮา เอาแต่ใจ โวยวาย นั่นแปลว่าคุณเป็นคนสำคัญของดิฉันแล้วหล่ะค่ะ สีชมพู สีขาว ลายจุด ลายทาง ดอกไม้ คัพเค้ก เจ้าหญิง ฮ่าๆ นี่แหละค่ะสิ่งที่ดิฉันโปรดปราน เวลาได้มองแล้วรู้สึกมีความสุขจริงๆ แต่ MY FAVORITE เลยคงจะต้องยกให้ แมวน้อย HELLO  KITTY ค่ะ แต่มันแปลกตรงที่ว่า ดิฉันเป็นคนเกลียดแมว เกลียดมาก มากมาก เรียกได้ว่าทั้งเกลียด ทั้งกลัว แต่ทำไมกลับมาชอบ คิตตี้ได้.....





                ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ เจ้าแมวน้อย คิตตี้ กันก่อนดีกว่าค่ะ คิตตี้ แมวหน้าตาน่ารัก ผูกโบแดงที่หูซ้ายและไม่มีปาก เป็นการ์ตูนที่ผลิตโดยบริษัท ซานริโอ (SANRIO) ของญี่ปุ่น ผู้ออกแบบ คือ ยูโกะ ชิมิซุ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2517 ซึ่งถือเป็นวันเกิดของคิตตี้ คิตตี้ หรือ คิตตี้จัง มีชื่อจริงว่า คิตตี้ ไวต์ (Kitty White) เป็นแมวชาวอังกฤษ อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ หลังคาสีแดง อยู่ห่างจากกรุงลอนดอน 20 กิโลเมตร ส่วนสูงเท่ากับแอปเปิ้ล 5 ผล และหนักเท่ากับแอปเปิ้ล 3 ผล มีนิสัยร่าเริง อบอุ่นและใจดี คิตตี้ชอบสีชมพู เมนูโปรด คือ พายแอปเปิ้ล ฮอตเค้ก พุดดิ้งและของหวาน ส่วนวิชาโปรด คือ ดนตรีและภาษาอังกฤษ จึงใฝ่ฝันจะเป็นนักเปียโนหรือกวี หากนับถึงปัจจุบัน คิตตี้มีอายุ 36 ปี และมีแฟนแล้ว ชื่อ แดเนียล






       ดิฉันเชื่อว่า คิตตี้ ต้องเป็นตัวการ์ตูนที่โปรดปรานของใครหลายๆคนแน่นอนค่ะ นอกจากคิตตี้ จะเป็นการตูนที่สร้างความบันเทิงให้กับดิฉันแล้ว คิตตี้ ยังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของดิฉันอีกด้วย ทำไมนะหรอค่ะ ? ก็เพราะว่ารอบตัวดิฉันนั้นเต็มไปด้วย หน้าเจ้าแมวน้อย   คิตตี้นี่สิค่ะ ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน ดิฉันมักจะมี คิตตี้ ติดตัวอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ โคมไฟหัวเตียง แปรงสีฟัน รองเท้าแตะ กระเป๋าใส่เศษเหรียญ ดินสอ สมุดโน๊ต เคสโทรศัพท์ หน้าจอคอมพิวเตอร์ ชุดนอน หรือแม้กระทั่งชุดชั้นใน 555555




          เฮลโหล คิตตี้ กลายมาเป็นสัญลักษณ์ทางการค้าไปทั่วโลกซึ่งได้ค่าลิขสิทธิ์ในการผลิตสินค้าใน แต่ละปีไม่ต่ำว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งมีตั้งแต่สิ่งละอันพันละน้อย อย่างตุ๊กตา สติ๊กเกอร์ บัตรอวยพร เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงของชิ้นใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือ เครื่องบินแอร์บัส เฮลโล คิตตี้ รุ่น A330-200 และยังมีสวนสนุก "ฮาร์โมนีแลนด์" และสวนสนุกในร่ม "ซานริโอ ปูโร แลนด์" ด้วยซึ่งสร้างขึ้นในแนวคิดของคิตตี้และผองเพื่อน






                 ไม่น่าเชื่อใช่ไหมหล่ะค่ะว่า แค่เจ้าหน้าแมวไม่มีปาก นามคิตตี้ จะเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างรายได้มากมายมหาศาลให้กับ ซานริโอ้  ไม่ว่าคิตตี้จะถูกตีพิมพ์บนสิ่งใด ก็มันจะมีผู้คนให้ความสนใจกันล้นหลาม มีความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อที่จะได้มาครอบครอง ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หูฟัง คอมพิวเตอร์ จนในปัจจุบัน ได้มีธนาคารแห่งหนึ่ง ได้นำเอา คิตตี้ มาใช้บนบัตร เอทีเอ็ม และ สนุดเงินฝาก กันเลยทีเดียว



              เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าคุณๆไม่ใช่สาวกคิตตี้ตัวจริงคงไม่อ่านกันหรอกใช่ไหมค่ะ คุณเคยหาคำตอบให้ตัวเองหรือเปล่าว่าทำไม คิตตี้ จึงกลายมาเป็น YOUR FAVORITE ??? แต่สำหรับคนที่เกลียดแมวอย่างดิฉันแล้ว สิ่งที่ทำให้คิดตี้ กลายมาเป็น MY FAVORITE นั้น ไม่ใช่เพราะลายเส้น ไม่ใช่เพราะโบว์ ไม่ใช่เพราะคิตตี้เป็นสีชมพู แต่เพราะความเป็นเด็กในตัวของ คิตตี้ นั่นเองค่ะ ดิฉันชื่นชอบความเป็นเด็ก และหลงใหลมัน เมื่อไหร่ที่ดิฉันได้อยู่ในช่วงอารมณ์นั้น มันทำให้ดิฉันรู้สึกมีความสุข ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ปล่อยวางจากทุกสิ่งอย่าง เพื่อเดินไปตามความฝันของตัวเอง นี่คงเป็นอีกมุมหนึ่งของดิฉันที่คุณยังไม่รู้จัก และคุณคงไม่มีโอกาสได้เห็นดิฉันในมุมนี้กันบ่อยนักหรอกค่ะ

               สุดท้ายนี้ ก็อยากจะบอกกับสาวกคิตตี้หมือนดิฉัน ทุกคนว่า ซื้อสินค้า ขอให้ซื้อสินค้าที่ถูกลิขสิทธิ์ ถือเป็นการให้เกียรติกับผู้ที่เขาคิดค้น ออกแบบมากันนะค่ะ อยู่กับตัวเองมาสักพักแล้ว ถึงเวลาต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงแล้วหล่ะค่ะ ขอให้มีความสุขในทุกๆวันนะค่ะ.....บาย





ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://webboard.yenta4.com/topic/432407







วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

NO MORE NO LESS

วงทนงศ์ ชัยณรงค์สิงห์

สำนักพิมพ์ : a book

 


                         

 

 

 

 

 

                               

  

 

 

 

  

                      ภายใต้รอยยิ้มที่เห็นกันอยู่ทุกวัน ใครหละจะรู้ดีว่าในใจเรายิ้มอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเราหรอก.......สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้มาแปลกค่ะ ไม่สดใสร่าเริงอย่างทุกทีที่ผ่านมา เนื่องจากว่า กำลังอยู่ในช่วงภาวะกดดันหลายๆอย่าง มันเครียดมากนะค่ะ กับการที่เราได้รับความไว้วางใจมากเกินไป ทำให้เราต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไรๆมากมาย ทั้งที่ๆตัวดิฉันเอง ก็อายุแค่ 20 เท่านั้น ดูเพื่อนๆหลายคน ยังคงเฮฮา สนุกสนาน ร่าเริง สดใส ใช้ชีวิตวัยรุ่น มุ่งรัก แต่ตัวดิฉันเอง กลับมานั่งคร่ำเครียดกับเรื่องงาน งาน งาน และงาน....

"Life is a tragedy when seen in close-up, but a comedy in long-short." 

Charlie Chaplin 

 

 

                           ชีวิตโตมาอยู่กับการทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ร้านอาหาร มินิมาร์ท เป็นนักการขาย นักธุรกิจ นักออกแบบ ช่างภาพ กราฟฟิค โรงพิมพ์ เลขา ทำบัญชี นักการตลาด เป็นออแกนไนซ์ และอีกมากมายที่เคยได้ลองสัมผัส ทำให้รู้ว่า ชีวิตผู้ใหญ่ไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยที่จะแบกรับความรับผิิดชอบอันใหญ่หลวงไว้ในมือเด็กผู้หญิงอย่างดิฉัน แต่ทำไงได้หล่ะค่ะ ถ้าสิ่งที่แบกรับไว้นั้น มันคือส่วนหนึ่งของครอบครัว ถึงแม้จะเหนื่อยและลำบากขนาดไหน ดิฉันก็ไม่มีวันทิ้งมันหรอกค่ะ







                            อุปสรรคมากมายที่ผ่านมา และที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ บางครั้งมันทำให้ท้อ เลยเลือกที่จะสร้างกำลังใจให้ตัวเองมากกว่าไปจมปรักอยู่กับมัน หนังสือเล่มนี้ต้องขอบคุณบิว ที่ให้ยืมมาอ่าน เพราะช่วงนั้น อาจจะดราม่ากับบิวไปหน่อย เปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ ได้ข้อคิดดีดีมากมาย เป็นข้อความที่สร้างกำลังใจให้กับตัวเองอย่างดี คนที่ท้อหรือกำลังสับสน ขอให้คุณตั้งสติ ใจเย็นๆ ถ้าอึดอัดก็ระบายมันออกมา ระบายผ่านตัวหนังสือ ถ้ากลัวไม่มีใครอ่านคุณก็อ่านมันเอง อย่างน้อยตัวคุณเองจะได้รับฟังตัวคุณเอง มันจะทำให้คุณมีสติมากขึ้น หรือถ้าใครไม่อยากเขียน อยากพูด อยากร้องไห้ ก็เชิญให้คุณทำได้เต็มที่ บางคนอ้างว่าไม่มีใครฟัง ขอถามหน่อยว่าคุณจะไปสนใจทำไมว่าใครจะฟังคุณหรือไม่ ขอแค่คุณฟังตัวคุณเองก็พอ .....


" อย่าปล่อยใหใครไม่รู้มาบอกเราว่า เราทำไม่ได้ คนคนเดียวที่สมควรพูดคำคำนั้นกับเราก็คือตัวเรา "  

no more no less : วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ 

 

                       

                    ผ่านช่วงเวลาแห่งการจมปรักไปแล้ว คุณก็ แค่เริ่มต้นใหม่ ที่ดิฉันใช้คำว่าแค่ เพราะการเริ่มต้นใหม่มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คุณคิดหรอก อะไรที่คุณกลัว แปลว่าคุณยังไม่รู้จักมัน ถ้าคุณได้รู้จักมัน สัมผัสกับมันบ่อยๆ คุณจะไม่มีความกลัว ความผิดพลาดก็เช่นกันมันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ แต่มันมักเกิดขึ้นจากความไม่ได้ตั้งใจ จากอุบัติเหตุ หรือจากอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณต้องยอมรับมัน ยอมรับมันซะว่าเป็นความผิดที่เกิดขึ้นจากตัวคุณเอง อย่าเที่ยวไปป้ายสี ใส่ร้ายใคร เพราะคุณจะไม่มีวันมีความสุขหรอก และถ้าใครมาทำผิดกับคุณ จงให้อภัย เพราะถ้าเป็นเราเอง เราก็คงต้องการแบบนั้นเช่นกัน


"การทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ ไม่ใช่หนทางที่จะช่วยให้ใครคลายจากความเจ็บปวด" 

 no more no less : วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ 

 

 

                             บทความจากบล็อกที่ถูกเขียนขึ้นในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากเรื่องราวชีวิตของดิฉัน (มันดูซีเรียสไปหน่อย แต่ก็เกิดขึ้นจริง) และถ้าถามว่าเกี่ยวอะไรกับหนังสือเล่มนี้ คงเป็นเพราะ หนังสือเล่มนี้แหละที่สร้างกำลังใจให้กับดิฉันเวลาเจอปัญหา มันทำให้ดิฉันมีสติ และไม่โทษคนอื่น แต่ทุกสิ่ที่เกิดขึ้นตัวดิฉันนี่แหละเป็นคนกำหนดเอง...........

everything depend on myself : C.Kaewkhal